Google TalayLink จุดเปลี่ยนโครงสร้างอินเทอร์เน็ตไทย สู่ศูนย์กลางเคเบิลใต้น้ำแห่งเอเชีย
ทราบไหมคะว่า อินเทอร์เน็ตที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง 4K หรือการเทรดหุ้นแบบเรียลไทม์ ต้องพึ่งพาโครงข่ายใยแก้วนำแสงที่วางอยู่ใต้ทะเล หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ เคเบิลใต้น้ำ
สำหรับประเทศไทย การมีเคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมต่อกับโลกภายนอกหลายเส้นทางคือสิ่งจำเป็นต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจดิจิทัล และตอนนี้มีโครงการที่กำลังเข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นั่นคือ Google TalayLink

TalayLink เปลี่ยนเกมโครงข่ายอย่างไร
ความสำคัญของ TalayLink อยู่ที่การสร้าง ทางเลือก ที่มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพสูงกว่าเส้นทางเคเบิลใต้น้ำแบบดั้งเดิมที่ประเทศไทยเคยมี
- สร้างเส้นทางที่หลากหลาย โครงข่ายเคเบิลใต้น้ำส่วนใหญ่ในเอเชียมักจะพาดผ่านจุดเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ที่เป็นคอขวด (Choke Points) ซึ่งหากเกิดปัญหาจะส่งผลกระทบต่ออินเทอร์เน็ตของหลายประเทศพร้อมกัน TalayLink สร้างเส้นทางใหม่ที่แยกจากเส้นทางเดิม ทำให้โครงสร้างอินเทอร์เน็ตของไทยมีความยืดหยุ่นและมีเสถียรภาพมากขึ้นมาก
- ลด Data Latency การสร้างเส้นทางที่สั้นและตรงกว่าไปยังภูมิภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะออสเตรเลียและจุดเชื่อมต่อสำคัญอื่น ๆ ทำให้ข้อมูลเดินทางได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นการลดความหน่วง (Low Latency) ลงได้อย่างมาก ความสามารถในการรักษา Low Latency นี้เองที่เป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาความเร็วสูง เช่น FinTech และ AI
- เพิ่มความมั่นคงของโครงข่าย การมีเส้นทางสำรองที่แข็งแกร่ง ทำให้ระบบอินเทอร์เน็ตของประเทศมีความทนทานต่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันมากขึ้น ซึ่งเป็นหลักประกันสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลโดยรวม
จุดเปลี่ยนโครงสร้างอินเทอร์เน็ตไทย จากการพึ่งพาเข้าสู่การเป็นผู้เชื่อมโยง
TalayLink ไม่ได้มีผลแค่การเชื่อมต่อกับต่างประเทศ แต่ส่งผลต่อความแข็งแกร่งของโครงสร้างอินเทอร์เน็ตภายในประเทศด้วย
- ยกระดับระบบเน็ตเวิร์กที่เสถียร การมีเคเบิลใต้น้ำคุณภาพสูงทำให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศสามารถรับประกันคุณภาพการให้บริการ (QoS) ที่ดีขึ้นและต่อเนื่องขึ้นได้ โดยเฉพาะการให้บริการที่ต้องการ การเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพ สูงแก่ภาคธุรกิจและผู้ใช้งานทั่วไป
- ดึงดูด Content Delivery Networks (CDNs) เมื่อไทยมีเส้นทางเคเบิลใต้น้ำที่หลากหลายและ Low Latency ยักษ์ใหญ่ด้านคอนเทนต์และ Cloud Service (เช่น Cloud Region) ก็จะมั่นใจที่จะเข้ามาติดตั้งเซิร์ฟเวอร์และ Content Delivery Networks (CDNs) ในประเทศมากขึ้น ซึ่งการมี CDN ในประเทศหมายความว่า ข้อมูลที่เราเข้าถึงจะเดินทางในระยะทางที่สั้นลง ทำให้บริการดิจิทัลต่าง ๆ รวดเร็วขึ้นมาก
- การเป็น Digital Gateway ของอนุภูมิภาค ด้วยทำเลที่ตั้งที่ได้เปรียบอยู่แล้ว การมี TalayLink ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดเชื่อมต่อข้อมูลที่น่าสนใจสำหรับประเทศเพื่อนบ้านในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (CLMV) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนสถานะของไทยจากผู้ใช้เป็นผู้เชื่อมโยงข้อมูลของภูมิภาค

กลยุทธ์การเป็น Hub การดึงดูด Data Center
การจะเป็น ศูนย์กลางเคเบิลใต้น้ำแห่งเอเชีย ได้อย่างแท้จริง ประเทศไทยต้องเปลี่ยนการมีสายเคเบิลใต้น้ำเป็น แม่เหล็กดึงดูด อุตสาหกรรมต่อเนื่องที่สำคัญที่สุดนั่นคือ ศูนย์ข้อมูล (Data Center)
- สร้างความต้องการ Data Center การมี Low Latency และความหลากหลายของเส้นทางเคเบิลใต้น้ำถือเป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรกที่บริษัท Cloud และผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลระดับโลกใช้ในการตัดสินใจเลือกทำเล การที่ Google เข้ามาลงทุนใน TalayLink เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า ไทยมีศักยภาพในการเป็นที่ตั้งของ ศูนย์ข้อมูล แห่งใหม่
- การเชื่อมโยงศูนย์ข้อมูลภายในประเทศ รัฐบาลและภาคเอกชนต้องสร้างโครงข่ายภายในประเทศที่มีความเร็วสูงและเสถียร เพื่อเชื่อมโยงศูนย์ข้อมูลใหม่ ๆ เข้ากับจุดขึ้นฝั่งของเคเบิลใต้น้ำ (Landing Station) และกับเมืองหลัก ๆ ทั่วประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
- สร้าง Ecosystem ที่ครบวงจร การเป็น Hub ไม่ได้วัดที่จำนวนสายเคเบิล แต่วัดที่การใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่วิ่งผ่าน เราต้องสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาซอฟต์แวร์, AI, และบริการฟินเทค ที่ใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่รวดเร็วนี้
การทำให้ข้อมูลที่วิ่งผ่าน TalayLink “หยุด” และ “ทำงาน” ในประเทศไทยก่อนเดินทางต่อไป คือกุญแจสำคัญสู่การเป็น Digital Hub ที่สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
Google TalayLink คือการลงทุนที่มอบโอกาสครั้งสำคัญที่สุดให้แก่ประเทศไทยในการยกระดับ โครงสร้างอินเทอร์เน็ตไทย ให้ก้าวสู่มาตรฐานโลก และสร้างความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาคเอเชีย
นี่คือช่วงเวลาที่ประเทศไทยต้องอาศัยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล เพื่อเปลี่ยนความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์และโครงสร้างพื้นฐานใหม่นี้ ให้กลายเป็นความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ
การเป็น ศูนย์กลางเคเบิลใต้น้ำแห่งเอเชีย จะเป็นจริงได้ ก็ต่อเมื่อเราสามารถใช้ Low Latency ที่ได้รับมาเป็นเครื่องมือในการดึงดูด ศูนย์ข้อมูล การลงทุนด้าน AI และการสร้าง ระบบเน็ตเวิร์กที่เสถียร ที่จะรองรับความต้องการของโลกดิจิทัลในอนาคต
การตัดสินใจและการลงมือทำอย่างจริงจังในวันนี้ จะกำหนดตำแหน่งของประเทศไทยในโลกดิจิทัลไปอีกหลายทศวรรษข้างหน้า














