คลังเก็บป้ายกำกับ: สุขภาพ

เจาะลึกโรคผิวหนังยอดฮิตที่คนไทยเป็นกันบ่อย รักษายังไงให้หายขาด ไม่กลับมาเป็นซ้ำ

ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังเป็นสิ่งที่คนไทยเจอกันบ่อย ตั้งแต่ผดผื่นทั่วไป ไปจนถึงโรคผิวหนังเรื้อรังที่รักษายาก สิ่งสำคัญคือหลายคนมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ได้รีบรักษา หรือรักษาด้วยตัวเองจนทำให้อาการลุกลาม เกิดเป็นวงจรที่กลับมาเป็นซ้ำเรื่อย ๆ ทั้งที่ในความจริงแล้ว การพบแพทย์เฉพาะทางผิวหนังตั้งแต่ระยะแรก จะช่วยให้การรักษาได้ผลดีขึ้นมาก

โรคผิวหนังที่พบบ่อยในคนไทย

  1. ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis)
    พบบ่อยในเด็ก แต่ผู้ใหญ่ก็เป็นได้ อาการคือผิวแห้ง คัน ผื่นแดง มักเกิดซ้ำ โดยเฉพาะบริเวณข้อพับ แขน ขา
  2. โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)
    ลักษณะเด่นคือมีคราบขาวหรือเงินหนา ๆ บนผิวหนังที่แห้งและแดง มักเป็นที่ข้อศอก หนังศีรษะ หรือหลัง มีความเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน
  3. เชื้อราที่ผิวหนัง
    เช่น กลาก เกลื้อน ฮ่องกงฟุต หรือเชื้อราบนหนังศีรษะ อาจเกิดจากอากาศร้อนชื้น การใส่รองเท้าผ้าใบหรือหมวกเป็นเวลานาน
  4. สิวอักเสบ สิวเรื้อรัง
    แม้สิวจะดูไม่ใช่โรค แต่ถ้าเป็นเรื้อรังหรือมีรอยอักเสบหนัก ก็จัดว่าเป็นปัญหาผิวที่ควรได้รับการดูแลจากแพทย์
  5. โรคผิวหนังจากแสงแดด (Photoallergy, Photodermatitis)
    อาจเกิดผื่นแดง ผิวลอก คันเมื่อเจอแดด เพราะผิวไวต่อแสง ซึ่งบางกรณีเป็นอาการของโรคแพ้แสงร่วมด้วย
  6. โรคติดต่อทางผิวหนัง เช่น หิด เริม หรือหูด
    โรคเหล่านี้สามารถติดต่อจากการสัมผัสหรือละเลยการรักษา อาจแพร่กระจายและลุกลามได้

ปัจจัยที่ทำให้โรคผิวหนังหายยากและกลับมาเป็นซ้ำ

  • การรักษาไม่ต่อเนื่อง หยุดยาทันทีที่อาการดีขึ้น
  • ใช้ยาหรือครีมที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น สเตียรอยด์เกินขนาด
  • สะสมเชื้อโรคในเครื่องนอน เสื้อผ้า หรือของใช้ส่วนตัว
  • ไม่แก้ไขพฤติกรรมกระตุ้นโรค เช่น ล้างมือบ่อยเกินไปในผู้มีผิวแห้ง
  • ขาดการดูแลพื้นฐาน เช่น การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิว

วิธีดูแลและรักษาโรคผิวหนังให้หายขาด

1. ตรวจวินิจฉัยให้ตรงจุดกับแพทย์เฉพาะทาง
โรคผิวหนังหลายชนิดมีอาการคล้ายกัน เช่น ผื่นแพ้ เชื้อรา หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง การวินิจฉัยผิดทำให้การรักษาไม่ตรงจุด

2. ใช้ยาตามคำสั่งแพทย์เท่านั้น
โดยเฉพาะยาทากลุ่มสเตียรอยด์ หรือยาฆ่าเชื้อ เพราะหากใช้ไม่เหมาะสมจะยิ่งทำให้ผิวบางลง ติดยาง่าย และเป็นซ้ำบ่อย

3. ปรับพฤติกรรมร่วมด้วยเสมอ
เช่น หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น แดด ฝุ่น ผ้าใยสังเคราะห์ อาหารแสลง หรือความเครียด

4. ฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงหลังจากหาย
หลังจากอาการทุเลา ควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่ช่วยฟื้นเกราะป้องกันผิว เช่น มอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับผิวแพ้ง่าย และครีมกันแดดอ่อนโยน

5. ตรวจสุขภาพทั่วไปควบคู่กัน
บางครั้งปัญหาผิวหนังอาจเป็นสัญญาณของโรคอื่น เช่น เบาหวาน ไทรอยด์ หรือภูมิแพ้ในระบบอื่น ควรตรวจร่างกายเพื่อวางแผนการดูแลสุขภาพระยะยาว

ปรึกษาแพทย์เพื่อการดูแลแบบองค์รวม

สำหรับใครที่กำลังเผชิญปัญหาโรคผิวหนัง ผมร่วง เล็บผิดปกติ หรือมีอาการเรื้อรังกลับมาเป็นซ้ำ การพบแพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลที่ให้บริการครบวงจรจะช่วยให้คุณได้รับการดูแลทั้งจากภายนอกและภายใน ซึ่งปัจจุบันโรงพยาบาลและคลินิกหลายแห่ง รวมถึง  SCMC Clinic ก็มีบริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคผิวหนังโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง พร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัย
สามารถดูข้อมูลรายละเดียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://scmcthailand.com/

โรคผิวหนังบางชนิดอาจดูไม่รุนแรงในช่วงแรก แต่หากละเลยหรือรักษาไม่ถูกวิธี อาจกลายเป็นปัญหาเรื้อรังและส่งผลต่อคุณภาพชีวิต การเข้ารับการวินิจฉัยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยควรรักษาอย่างต่อเนื่อง และดูแลสุขภาพผิวควบคู่กันไป เพื่อให้ผิวกลับมาแข็งแรง ลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง

แค่เปลี่ยนวิธีกิน ก็ลดได้หลายกิโล โดยไม่ต้องเข้าฟิตเนส

หลายคนคิดว่าการลดน้ำหนักต้องเข้าฟิตเนส ออกกำลังกายหนักๆ จนเหงื่อท่วม แต่จริงๆ แล้ว “อาหาร” คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของการลดน้ำหนักครับถ้าเราเปลี่ยนวิธีกินอย่างถูกต้อง น้ำหนักสามารถลดลงได้หลายกิโล โดยไม่ต้องแตะอุปกรณ์ออกกำลังกายเลยด้วยซ้ำบทความนี้จะพาไปดูว่า “แค่ปรับวิธีกิน” ยังไงให้เห็นผลจริงแบบไม่เครียด ไม่โหย ไม่ต้องอดอาหารครับ

กินอย่างไรให้ลดได้จริง

1. กินให้พอดีกับพลังงานที่ใช้

ร่างกายแต่ละคนมีการเผาผลาญพลังงานไม่เท่ากัน การลดน้ำหนักที่ดีคือการกินน้อยกว่าที่ใช้เพียงเล็กน้อย เช่น:

  • ใช้แอปคำนวณแคลอรี่เพื่อรู้ค่าที่เหมาะกับตัวเอง
  • ลดปริมาณอาหารแต่ยังคงสารอาหารครบถ้วน
  • หลีกเลี่ยงการ “อด” เพราะจะทำให้โยโย่ในระยะยาว

2. เน้นโปรตีน และลดแป้งขัดขาว

โปรตีนช่วยให้อิ่มนาน ซ่อมแซมร่างกาย และรักษามวลกล้ามเนื้อ เช่น ไข่ต้ม อกไก่ เต้าหู้ ถั่ว

ในขณะที่แป้งขัดขาว เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว จะทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งเร็ว และหิวเร็วขึ้น ลองเปลี่ยนเป็น:

  • ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี่
  • ขนมปังโฮลวีต
  • มันม่วงหรือฟักทองแทนข้าวบางมื้อ

เน้นโปรตีน และลดแป้งขัดขาว

3. กินผักให้เยอะขึ้นในทุกมื้อ

ผักให้ใยอาหารสูง ช่วยเรื่องขับถ่าย และทำให้อิ่มเร็วขึ้นโดยไม่เพิ่มแคลอรี่มากนัก ลองเริ่มจาก:

  • เพิ่มผักครึ่งจานทุกมื้อ
  • ลวกผักแทนการผัดหรือต้มจืด
  • ใช้น้ำสลัดไขมันต่ำ หรือมะนาวแทนน้ำสลัดครีม

4. ดื่มน้ำก่อนมื้ออาหาร

การดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว ก่อนมื้ออาหาร 15–30 นาที จะช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ลดการกินเกินโดยไม่รู้ตัว และยังช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้น

5. เคี้ยวให้ช้า สมองจะสั่งอิ่มได้เร็วขึ้น

หลายคนกินเร็วจนเผลอกินเกินเพราะสมองยังไม่สั่งอิ่ม การเคี้ยวช้าช่วยให้ร่างกายรู้ตัวว่าอิ่มจริงๆ ลดปริมาณอาหารได้แบบธรรมชาติ

เคี้ยวให้ช้า

6. เปลี่ยนของว่างให้ฉลาดขึ้น

ของว่างที่ดีไม่ควรทำให้หิวกว่าเดิม ลองเลือก:

  • ถั่วอบไม่ใส่เกลือ
  • ผลไม้สดหวานน้อย เช่น แอปเปิ้ล ฝรั่ง
  • ไข่ต้ม 1 ฟอง หรือโยเกิร์ตไขมันต่ำ

เคล็ดลับเสริม: ทำให้มัน “ง่าย” และ “ต่อเนื่อง”

  • เตรียมอาหารล่วงหน้า จะได้ไม่พลาดกินของหวานเวลาเร่งรีบ
  • ตั้งเป้ากินดีแค่ 80% ไม่ต้องเป๊ะทุกมื้อ จะได้ไม่เครียด
  • จดบันทึกสิ่งที่กิน ช่วยให้รู้ตัวและปรับได้ง่ายขึ้น

แล้วจะลดได้แค่ไหน?

ถ้าคุณปรับแค่วิธีกินอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ออกกำลังกายเลย น้ำหนักสามารถลดได้เฉลี่ย 1–2 กิโลกรัมต่อเดือน อย่างปลอดภัย และไม่ต้องอดอาหารให้เครียดครับ

สรุป

การลดน้ำหนักไม่จำเป็นต้องไปฟิตเนสทุกวันครับ แค่เปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้ “ฉลาดขึ้น” และยั่งยืนกว่าเดิม ก็พอแล้วอาหารคือกุญแจสำคัญของสุขภาพ น้ำหนักที่ลดลงจะตามมาเองเริ่มจากจุดเล็กๆ ที่เราควบคุมได้ทุกวัน แล้วคุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในแบบที่ไม่ต้องฝืนเลยครับ

อ้างอิงที่มา : https://clinicinsights.asia/body/1475/