Data is the New Oil จริงหรือเกินจริง? การเปรียบเทียบที่ทรงพลังและอันตราย
วลีที่ว่า Data is the New Oil ถูกกล่าวถึงครั้งแรกโดยนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ Clive Humby เมื่อปี 2006 และกลายเป็นประโยคที่ถูกยกมาใช้บ่อยที่สุดเพื่ออธิบายมูลค่าของข้อมูลในยุคดิจิทัล การเปรียบเทียบนี้สะท้อนความจริงอันลึกซึ้งว่า ข้อมูล คือทรัพยากรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21 ไม่ต่างจากที่ น้ำมัน เคยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 20
อย่างไรก็ตาม การเปรียบเทียบนี้มีทั้งส่วนที่ จริงอย่างยิ่ง และส่วนที่ เกินจริง ซึ่งนักธุรกิจและผู้กำหนดนโยบายต้องทำความเข้าใจ
ส่วนที่ “จริง”ข้อมูลคือเชื้อเพลิงที่ต้อง “กลั่น”
แก่นแท้ของการเปรียบเทียบนี้ยังคงใช้ได้ดี เพราะทั้งข้อมูลและน้ำมันดิบต่างมีคุณสมบัติที่คล้ายกันในแง่ของมูลค่าทางเศรษฐกิจ
1. ต้องผ่านการกลั่นกรองจึงจะมีค่า
- น้ำมันดิบ หากไม่ผ่านกระบวนการกลั่น ก็ไม่สามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง เบนซิน หรือพลาสติกได้
- ข้อมูลดิบ (Raw Data) ข้อมูลที่ถูกเก็บมา (เช่น ยอดคลิก การค้นหา หรือพฤติกรรมการซื้อ) หากไม่ถูกนำมา วิเคราะห์ จัดระเบียบ และตีความ ก็จะเป็นแค่ตัวเลขไร้ความหมาย มูลค่าที่แท้จริง ของข้อมูลจึงอยู่ที่ การวิเคราะห์ (Analysis) และ ข้อมูลเชิงลึก (Insight) ที่ถูกสกัดออกมา
2. คือรากฐานของอำนาจและการผูกขาด
- น้ำมันดิบ ในอดีต ประเทศหรือบริษัทที่ควบคุมแหล่งน้ำมัน จะควบคุมอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองของโลก
- ข้อมูลดิบ ในปัจจุบัน บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ (เช่น Google, Amazon, Meta) ที่สามารถเข้าถึงและประมวลผลข้อมูลผู้บริโภคจำนวนมหาศาล (Big Data) จะมีความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์เหนือคู่แข่งอย่างท่วมท้น พวกเขาสามารถคาดการณ์ความต้องการของลูกค้า พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานได้อย่างเฉียบขาด
3. ขับเคลื่อนเทคโนโลยียุคใหม่
- น้ำมันดิบ เป็นเชื้อเพลิงของยานยนต์และโรงงานในยุคอุตสาหกรรม
- ข้อมูลดิบ เป็นเชื้อเพลิงของ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning การที่ AI จะฉลาดขึ้นได้ต้องอาศัยชุดข้อมูลขนาดใหญ่ในการฝึกฝน ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ไม่มีใครสามารถซื้อหรือสร้างขึ้นมาได้ภายในเวลาอันสั้น
ส่วนที่เกินจริง ข้อมูลเป็นทรัพยากรที่เหนือกว่าน้ำมัน
เมื่อมองลึกลงไปในคุณสมบัติทางเศรษฐศาสตร์ ข้อมูลมีความแตกต่างพื้นฐานจากน้ำมันดิบอย่างสิ้นเชิง ทำให้มันเป็นทรัพยากรที่มีศักยภาพ สูงกว่า น้ำมันมาก
คุณสมบัติ | น้ำมันดิบ (Old Oil) | ข้อมูล (New Oil) |
ความเป็นทรัพยากร | มีจำกัด (Finite) ใช้แล้วหมดไป | ไม่มีจำกัด (Infinite) สร้างขึ้นใหม่ตลอดเวลา |
การใช้ซ้ำ | ใช้ครั้งเดียวหมด กลายเป็นไอเสีย | ใช้ซ้ำได้ไม่จำกัด ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่มมูลค่า |
ต้นทุนการขนส่ง | สูงมาก ต้องใช้เรือ, ท่อส่ง และคลังเก็บ | เกือบเป็นศูนย์ ส่งผ่านอินเทอร์เน็ตได้ทั่วโลกในเสี้ยววินาที |
มูลค่า | มีมูลค่าในตัว (ราคาน้ำมันตลาดโลก) | มูลค่าขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ ข้อมูลดิบโดยเฉลี่ยส่วนใหญ่อาจไร้มูลค่า |
ความรับผิดชอบที่มาพร้อมพลัง ข้อมูลคือความเสี่ยง
การเปรียบเทียบกับน้ำมันทำให้เกิด คำเตือนที่อันตราย หากมองข้าม
- ความเป็นพิษ (Toxicity) หากน้ำมันดิบรั่วไหลจะสร้างมลพิษร้ายแรง ข้อมูล ก็เช่นกัน หากถูกจัดเก็บอย่างไม่ปลอดภัย (เช่น การรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล) หรือถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด (เช่น การละเมิดความเป็นส่วนตัว การบิดเบือนข้อมูล) จะสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อสังคมและชื่อเสียงขององค์กร
- ภาระการจัดการ ธุรกิจหลายแห่งกลายเป็น “นักสะสมข้อมูลดิจิทัล” (Digital Hoarder) เก็บข้อมูลไว้มากมายโดยที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ทำให้เกิดต้นทุนการจัดเก็บที่สูงขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
Data is the New Oil จึงเป็นคำเปรียบเปรยที่ช่วยตอกย้ำให้เห็นว่าข้อมูลคือ สินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ ที่ทรงพลังที่สุดในยุคนี้ แต่มันเป็นทรัพยากรที่มีคุณสมบัติพิเศษกว่าน้ำมันมาก เพราะมัน ไม่มีวันหมด และยิ่งใช้ยิ่งงอกเงย
ดังนั้น ความท้าทายขององค์กรในศตวรรษที่ 21 จึงไม่ใช่แค่การ ขุดเจาะ (Collecting) ข้อมูลให้ได้มากที่สุด แต่คือการ สร้างระบบกลั่นกรอง (Refining) ที่ชาญฉลาด มีจริยธรรม และมีความปลอดภัยสูง เพื่อเปลี่ยนข้อมูลดิบให้กลายเป็น เชื้อเพลิงแห่งปัญญา ที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมและสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจได้อย่างยั่งยืน